This is default featured slide 1 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.This theme is Bloggerized by Lasantha Bandara - Premiumbloggertemplates.com.

This is default featured slide 2 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.This theme is Bloggerized by Lasantha Bandara - Premiumbloggertemplates.com.

This is default featured slide 3 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.This theme is Bloggerized by Lasantha Bandara - Premiumbloggertemplates.com.

This is default featured slide 4 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.This theme is Bloggerized by Lasantha Bandara - Premiumbloggertemplates.com.

This is default featured slide 5 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.This theme is Bloggerized by Lasantha Bandara - Premiumbloggertemplates.com.

Saturday, July 27, 2013

State Labeling Law


State Labeling Laws: The 'skull and crossbones' that terrify Monsanto

Monsanto's greatest fear isn't a federal government charged with protecting the health and safety of its citizens. Congress and the White House seem only too happy to oblige the biotech industry's unquenchable thirst for growth, power and dominance. No, it's the massive, unstoppable (so far) grassroots movement of Millions Against Monsanto that strikes fear in the heart of the Biotech Bully. U.S. citizens are waking up. They're demanding labels on genetically engineered foods, similar to those already required in the European Union. They're calling for serious independent safety-testing of GE crops and animals, both those already approved (especially Monsanto's Roundup-resistant crops) and those awaiting approval.

The anti-GMO movement has finally figured out, after 20 years of fruitlessly lobbying Congress, the FDA and the White House, that the federal government is not going to require labels on GE foods. Instead the movement has shifted the battleground on GMO labeling from Monsanto and Big Food's turf in Washington D.C. to the more favorable terrain of state ballot initiatives and state legislative action - publicizing the fact that a state GMO labeling law will have the same marketplace impact as a national labeling law.

State laws spell doom for Monsanto. Companies like Kellogg's, General Mills, Coca-Cola, Pepsi/Frito-Lay, Dean Foods, Unilever, Con-Agra, Safeway, Wal-Mart and Smuckers are not going to label in just one or two states. Monsanto knows that U.S. food companies will go GMO-free in the entire U.S., rather than admit to consumers that their products contain GMOs.

As Monsanto itself has pointed out, labels on genetically engineered foods are like putting a "skull and crossbones" on food packages. This is why Monsanto and their allies poured $46 million into defeating a California ballot initiative last year that would have required labels on GMO foods. This is why Monsanto has lobbied strenuously in 30 states this year to prevent, or at least delay, state mandatory labeling laws from being passed. This is why Monsanto has threatened to file federal lawsuits against Vermont, Connecticut, Maine and Washington if they dare grant citizens the right to know whether or not their food has been genetically engineered or not.

And this is why Monsanto's minions are trying to insert amendments or riders into the Farm Bill that will make it nearly impossible, even illegal, for states to pass GMO labeling laws. And there's nothing to stop them when Congress is filled with pro-biotech cheerleaders who could care less that 90 percent of U.S. consumers want mandatory labels and proper safety testing of genetically engineered crops and foods.

Learn more: http://www.naturalnews.com/040413_Monsanto_states_rights_GMO_labeling.html#ixzz2a7RtCe9Q

การเขียนบทความ (Article Writing)



      บทความ (Article) เป็นงานเขียนประเภทหนึ่งที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากจากผู้อ่านในปัจจุบัน เราจะพบเห็นบทความในสื่อทั่วๆ ไป เช่น นิตยสาร วารสาร หนังสือพิมพ์ ฯลฯ แม้ว่ามีจำนวนผู้อ่าน และผู้เขียนบทความเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ แต่กลับพบว่ามีหนังสือที่ให้ความรู้เกี่ยวกับการเขียนบทความค่อนข้างน้อย ส่วนใหญ่มักปรากฏร่วมกับงานเขียนประเภทอื่นๆ
      ดังนั้นผู้เรียบเรียงจึงมีความต้องการนำเสนอ เรื่องการเขียนบทความอย่างละเอียด เพื่อเป็นประโยชน์ต่อผู้สนใจการเขียนบทความ และเพื่อเป็นประโยชน์ต่อการศึกษา และการอาชีพ
      การเขียนบทความนี้ มีทั้งหมด 5 บท ได้แก่
                           บทที่ 1 : ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับการเขียนบทความ
                           บทที่ 2 : การใช้ภาษาในการเขียนบทความ
                           บทที่ 3 : ขั้นตอนและกลวิธีการเขียนบทความ
                           บทที่ 4 : การเขียนบทความเฉพาะประเภท
                           บทที่ 5 : การวิเคราะห์บทความ
     ซึ่งแต่ละบทความเกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงถึงกัน ผู้อ่านจะได้ทำความรู้จักกับบทความอย่างละเอียด ลึกซึ้ง และเห็นถึงกระบวนการเขียนบทความตั้งแต่ต้นจนจบ สามารถวิเคราะห์บทความในฐานะผู้อ่านได้อีกด้วย


บทที่ 1 ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับการเขียนบทความ

1.1)  ความหมายของบทความ :
     บทความ หมายถึง งานเขียนที่ผู้เขียนเรียบเรียงขึ้นเพื่อนำเสนอเรื่องราวบนพื้นฐานของข้อเท็จ จริงให้ผู้อ่านได้ความรู้ ความเข้าใจ รวมถึงทราบแนวคิดหรือข้อเสนอแนะ(ในทางสร้างสรรค์)ของผู้เขียนในเรื่องนั้นๆ โดยที่ผู้อ่านต้องใช้วิจารณญาณในการพิจารณาตัดสิน

1.2)  ลักษณะเฉพาะของบทความ :
     บทความ เป็นงานเขียนที่มีองค์ประกอบของการเขียนเช่นเดียวกับงานเขียนความเรียงทั่วๆ ไป แต่ก็มีรายละเอียดในเรื่อของการนำเสนอ จุดมุ่งหาย และกลุ่มผู้อ่านที่แตกต่างกันออกไป
     ลักษณะเฉพาะของบทความ คือ
          1. ต้องเป็นเรื่องที่ผู้อ่านส่วนใหญ่กำลังสนใจอยู่ในขณะนั้น อาจเป็นปัญหาที่คนกำลังอยากรู้ว่าจะดำเนินต่อไปอย่างไร หรือมีผลอย่างไร
          2. มีเนื้อหาที่เกี่ยวกับสาธารณะชนใน วงกว้าง และยังไม่มีข้อยุติที่ทุกฝ่ายยอมรับร่วมกัน สาระครอบคลุมเรื่องทางสังคม วัฒนธรรม เศรฐกิจ การเมือง ประวัติศาสตร์ การศึกษา ฯลฯ
          3. ต้องมีสาระ มีแก่นสาร อ่านแล้วได้ความคิดเพิ่มเติม มิใช่เรื่องเลื่อนลอย เหลวไหล ไร้สาระ
          4. ต้องมีทัศนะ ข้อคิดเห็น ข้อวินิจฉัยของผู้เขียนแทรกอยู่ด้วย (นำเสนอข้อคิดเห็น ข้อเสนอแนะบนพื้นฐานการแย้ง แสดงเหตุผล
          5. มีวิธีเขียนชวนให้อ่าน ทำให้เพลิดเพลิน และชวนคิด

1.3)  วัตถูประสงค์ของบทความ :
      ผู้เขียนบทความมีวัตถุประสงค์ในการเขียนบทความที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งสรุปได้ดังนี้
          1. เพื่อบอกเล่า เป็นการเขียนเพื่อให้ข้อมูลข่าวสารที่คิดว่าผู้อ่านควรทราบ ของสิ่งที่กำลังสนใจในขณะนั้น
          2. เพื่อตีความ เป็นการเขียนเพื่อให้รายละเอียดเพิ่มเติมในประเด็นที่ยังไม่ชัดเจน เพื่อประโยชน์ในการตีความ
          3. เพื่อโต้แย้งแสดงเหตุผล เป็นการเขียนเพื่อแสดงเหตุผลทั้งที่เห็นด้วยและคัดค้าน ซึ่งเหตุผลที่นำมาสนับสนุนนั้น ต้องประกอบด้วยข้อมูล หลักฐานอ้างอิง ข้อเท็จจริงต่างๆ
          4. เพื่อกระตุ้นให้เกิดการกระทำ เป็นการเขียนเพื่อกระตุ้นความคิด ให้ผู้อ่านหันมาสนใจในสิ่งที่อาจมองข้าม หรือละเลย ให้หันมาปฏิบัติตามแนวคิดที่ผู้เขียนนำเสนอ

1.4)  ประเภทของบทความ :
      แบ่งประเภทของบทความสามารถแบ่งได้ตามลักษณะเนื้อหา จุดมุ่งหมาย วิธีเขียนบทความ แต่การแบ่งประเภทบทความที่นักวิชาการนิยมใช้เผยแพร่ได้แก่การบ่างตามเนื้อหา ซึ่งสามารถแบ่งได้ 6 ประเภท ดังนี้
          1. บทความเชิงวิชาการ หรือเชิงวิชาการ เป็นบทความที่เขียนขึ้นเพื่อเผยแพร่ความรู้โดยตรง ผู้เขียนจึงต้องทำการศึกษาค้นคว้าหาข้อมูล มีหลักฐานที่น่าเชื่อถือ นำมาเรียบเรียงนำเสนออย่างเป็นระบบ 
          2. บทความสัมภาษณ์  เป็นงานเขียนที่มีแหล่งข้อมูลมาจากการสัมภาษณ์เป็นหลัก แล้วประมวลสิ่งต่างๆ ที่ได้จากการสัมภาษณ์มาประกอบการเขียน สลับกับข้อมูลที่ได้จากการสัมภาษณ์โดยตรง
          3. บทความประเภทวิจารณ์ บทความวิพากษ์วิจารณ์ บทความวิเคราะห์วิจารณ์ เป็นบทความแสดงวามคิดเห็นโดยใช้หลักวิชา เหตุผล การตัดสินใจ และประเมิน บนพื้นฐานความรู้ที่น่าเชื่อถือ ผู้เขียนต้องมีประสบการณ์ในเรื่องที่วิจารณ์เป็นอย่างมาก และต้องรู้จักใช้ถ้อยคำคมคาย กินใจผู้อ่าน
          4. บทความแสดงความคิดเห็น เป็นบทความที่เกิดจาการจับประเด็นจากเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น ณ ขณะนั้น มาเป็นหัวข้อหลักในการแสดงความคิดเห็นของผู้เขียน การเขียนบทความประเภทนี้ ผู้เขียนต้องมีข้อมูล และมีความรู้ต่อเหตุการณ์ ต่างๆ อย่างแม่นยำ ซึ้งยังรวมถึง
                     •  บทความโต้แย้ง
                     •  บทความแสดงความคิดเห็นใหม่
                     •  บทความประเภทให้แง่คิด
          5. บทความชีวประวัติ เป็นบทความที่แสดงเรื่องราวของบุคคล กลุ่มคนเกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง และบทความร่างบุคลิกภาพของบุคคล ซึ้งคล้ายกับการเขียนประวัติบุคคล แต่มีความแตกต่างที่งานเขียนประเภทนี้มุ่งนำเสนอจุดเด่นของบุคคลใดบุคคล หนึ่งที่มีความรู้ความสามารถและได้รับการยกย่องจากสังคม มาเผยแพร่ให้รับทราบ เพื่อจุดประกายยกย่องศรัทธา
          6. บทความเชิงสารคดีท่องเที่ยว เป็นบทความที่นำเสนอสถานที่ท่องเที่ยว สวยงาม น่าสนใจ หรือท้วงติงบางเรื่อง บางภาวะ

     นอกจากนั้น ยังสามารถแบ่งประเภทบทความกว้างๆ ตามจุดมุ่งหมายของการนำเสนอ และวิธีการเขียน ได้ดังนี้
          1. บทความเชิงสาระ (Formal Essay) หมายถึง บทความที่นำเสนอในเรื่องที่เกี่ยวข้องทางวิชาการ  ซึ่งผู้เขียนต้องการอธิบายความรู้ในเรื่องใดเรื่องหนึ่งเป็นสำคัญ การเขียนบทความประเภทนี้จะมุ่งให้ความรู้มากกว่าความบันเทิง เช่น บทความเชิงวิชาการในสาขาต่างๆ บทความวิจัย ฯล
          2. บทความเชิงปกิณกะ (Informal Essay) หมายถึง บทความที่นำเสนอในเรื่องทั่วๆ ไป มุ่งให้เกิดความบันเทิงเป็นหลัก เช่น บทความแสดงความคิดเห็น

1.5)  องค์ประกอบของบทความ : 
      การเขียนบทความเป็นการแสดงความสามารถในการแสดงความคิดเห็นของผู้เขียนำด้อ ย่างอิสระ ไม่มีข้อจำกัดในเรื่องเนื้อหาสาระ และความยาวของการเผยแพร่ ผู้ที่เขียนบทความได้น่าอ่านนั้น ต้องมีความสามารถในการใช้ภาษา มีความรู้ในเรื่องเขียนเป็นอย่างดี
          1. ด้านเนื้อหา เนื่องจากบทความเป็นงานเขียนเชิงสารคดี จึงจำเป็นต้องคำนึงถึงความถูกต้อง แม่นยำ และชัดเจนของข้อมูลเป็นหลัก
              การเลือกเนื้อหาในการเขียนบทความ สามารถพิจารณาได้จาก
                   •  ความต้องการ หรือความสนใจอยากรู้เรื่องราวต่างๆ ของผู้อ่านขณะนั้น
                   •  ความต้องการแสดงความคิดเห็น หรือเผยแพร่ความรู้ในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง  ของผู้เขียนไปยังผู้อ่าน
                   •  ความแปลกใหม่ของเรื่องที่นำเสนอ หรืออาจเป็นเรื่องเก่าที่เคยมีการนำเสนอมาแล้ว แต่ผู้เขียนมีประเด็นหรือแง่มุมอื่นที่น่าสนใจมานำเสนอก็ได้
          2. ความคิดเห็น ความคิดเห็นที่นำเสนอในบทความต้องเป็นความคิดเห็นที่แปลกใหม่ สร้งสรรค์ เที่ยงตรง ซึ่งความคิดนั้นๆ ต้องผ่านการศึกษาค้นคว้ามาอย่างดีแล้ว คือมีการสำรวจข้อมูล/ปัญหา แล้วนำมาวิเคราะห์อย่างละเอียดถี่ถ้วน เสนอเนื้อหาอย่างสร้างสรรค์ มีเหตุมีผล มีสาระ เชื่อถือได้
การนำเสนอความคิดเห็นในบทความ จะเป็นในลักษณะสนับสนุน โต้แย้ง วิพากษ์วิจารณ์ ให้รายละเอียดเพิ่มเติม หรือตั้งประเด็นชวนให้ผู้อ่านคิด ตีความ
          3. วิธีเขียน เป็นความน่าสนใจ ชวนติดตามประการหนึ่งของบทความ ผู้เขียนต้องมีความสามรถในการใช้ภาษาที่สละสลวย น่าอ่านมีลีลาการเขียนที่ชวนติดตาม ใช้สำนวนโวหารที่ชัดเจน กะทัดรัด และหึความหมายที่เข้าใจง่าย

1.6)  หลักการเขียนบทความ :
      การเขียนบทความให้มีคุณภาพ ก่อให้เกิดประโยชน์ และสร้างความประทับใจแก่ผู้อ่านนั้น มีหลักในการเขียนที่สำคัญ ได้แก่
          1. เขียนให้น่าอ่าน เกิดความประทับใจ
          2. เขียนแบบวิเคราะห์เรื่อง วิเคราะห์ผู้อ่าน เรียงลำดับเรื่องให้ถูกต้อง คือมี คำนำ เนื้อเรื่อง และสรุปเรื่อง
         3. เขียนแจ่มแจ้ง กระจ่าง ให้ผู้อ่านคล้องตาม
         4. เขียนอ้างอิงอย่างมีหลักฐาน น่าเชื่อถือ
         5. เลือกเรื่องที่กำลังเป็นที่สนใจในปัจจุบัน
         6. เขียนให้มีสาระ เพลิดเพลิน
         7. แทรกความคิดเห็น หรือข้อคิดในทางสร้างสรรค์ และไม่ขัดต่อวัฒนธรรม
         8. เขียนอย่างมีเหตุผล เสนอแนะในที่ที่ลงมือปฏิบัติได้จริง
         9. ตั้งชื่อเรื่องได้อย่างเหมาะสม ให้ดูน่าอ่าน

1.7)  ลักษณะของบทความที่ดี :
      บทความที่ดี คือ บทความที่สามารถเข้าถึงผู้อ่านได้ง่าย สื่อสารกับผู้อ่านได้ชัดเจน ตรงประเด็น มีเนื้อหาที่เป็นประโยชน์ ทันสมัย และอยู่ในความสนใจของผู้อ่านในขณะนั้น รวมถึงต้องต้องมีลีลาในการใช้ภาษาที่สั้น กะทัดรัด เข้าใจง่าย
          1. มีความเป็นเอกภาพ  คือ ต้องมีแนวคิดหลัก 1 ประเด็น สามารถสื่อสารให้ผู้อ่านรับทราบได้ ตั้งแต่ ตั้งชื่อเรื่อง คำนำ เนื้อหา ไปจนถึงบทสรุปอย่างชัดเจน
          2. มีสัมพันธภาพ ต้องมีความเกี่ยวเนื่องเชื่อมโยง มีความสอดคล้องกันตั้งแต่ต้นจนจบเรื่อง มีการประสานความคิดไปในแนวทางเดียวกัน ถึงแม้จะอยู่ต่างย่อหน้า
          3. มีสารัตถภาพ ต้องมีเนื้อหาสาระ มีหลักฐาน  ข้อเท็จจริง ที่สามารถตรวจสอบได้ มีความถูกต้องแม่นยำ มีเหตุมีผล
          4. มีความกะทัดรัด ต้องเลือกใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย อธิบายเรื่องราวต่างๆ ด้วยคำพูดสั้นๆ ตรงความหมาย ได้ใจความ และต้องคำนึงถึงความยาวของบทความ ให้เหมาะสมกับสื่อที่เผยแพร่
          5. มีความชัดเจน ต้องมีความชัดเจน ทั้งทางด้านเนื้อหา และการใช้ภาษา มีความกระจ่างชัด ตรงไปตรงมา
          6. มีการใช้ภาษาที่เหมาะสม ต้องเลือกใช้ภาษาให้ถูกต้องตามหลักภาษา ใช้คำให้ตรงความหมาย มี่นิยมใช้ภาษาพูดในการเขียนบทความ  แต่ควรใช้ภาษาที่เป็นทางการ
          7. มีความน่าสนใจ บทความที่ดีต้องทำให้ผู้อ่านเกิดความสนใจ สะดุดตาตั้งแต่ชื่อบทความซึ่งต้องมีความแปลกใหม่ จำง่าย และต้องครอบคลุมเนื้อเรื่องไว้ได้ทั้งหมด

1.8)  คุณลักษณะที่ดีของผู้เขียนบทความ :
      ปัจจัยสำคัญที่ทำให้บทความมีคุณภาพ น่าอ่าน น่าติดตาม น่าประทับใจ ก็คือตัวผู้เขียนบทความเอง การจะเป็นผู้เขียนบทความที่ดี ต้องมีลักษณะดังนี้
          1. ต้องมีความรู้ เข้าใจในเรื่องที่ตนเขียนเป็นอย่างดี
          2. มีการแสดงความคิดเห็นอย่างมีเหตุ มีผล เชื่อถือได้
          3. มีความเป็นกลาง ยุติธรรม เขียนโดยปราศจากอคติ
          4. เสนองานเขียนที่เป็นเรื่องใหม่ หรือแสดงแง่มุมที่แปลกใหม่ ทันสมัย ทันต่อเหตุการณ์
          5. คำนึงถึงประโยชน์ของผู้อ่านเป็นสำคัญ

    บทที่ 1 ซึ่งได้กล่าวถึง ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับการเขียนบทความได้จบลงแล้ว บทความต่อไปคือ บทที่ 2 จะได้กล่าวถึง การใช้ภาษาในการเขียนบทความ

เอกสารอ้างอิง : 
“การเขียนบทความ”, ผศ.วัฒนา แช่มวงษ์ , สำนักพิมพ์โอเดียนสโตร์, พิมพ์ครั้งที่ 1 พ.ศ. 2556, ISBN 978-616-528-139-0